วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2560

1st time of Katsu in Japan


September 2016@Bangsane Home

จากการที่ おじいちゃん (คุณปู่)ของคัทสึ ที่ญี่ปุ่น ไม่สบายต้องไปอยู่โรงพยาบาล แถมคัทสึเองตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเจอหน้ากันกับ祖父(คุณปู่คุณย่า)เลยสักที

ฉะนั้น นี่จึงเป็นแรงผลักดันอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้หม่าม้าตัดสินใจกับป่าป๊าว่า "เราจะพาหมูน้อยนั่งเครื่อง 6 ชม.ไปญี่ปุ่นกัน" ซึ่งนี่เป็นข้อสรุปที่เกิดขึ้นก่อนวันเดินทางช่วงสิ้นปี(ปี 2016) ประมาณ 4 เดือนก่อนหน้า

เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว  หม่าม้าก็ไม่รีรอที่จะเริ่มหาตั๋วมุ่งหน้าสู่ญี่ปุ่น และแน่นอนว่า เราจะเลือกไฟล์ทที่มีเงื่อนไขดี,บินตรง, full service,ที่นั่งไม่แคบ และตัวเลือกสุดท้ายสำคัญมาก คือ ราคาที่พ่อแม่จ่ายแล้วไม่ต้องมาใช้หนี้ทีหลัง  และในที่สุดเราก็ คลิกเมาส์ เพื่อซื้อตั๋วของ การบินไทย BKK - Narita - BKK เดินทางวันที่ 30 ธ.ค.2016 - 4 ม.ค. 2017( 6 วัน)
ด้วยสนนราคา ผู้ใหญ่ 20,018 บ. /คน  นน.กระเป๋าคนละ 30 กก.ส่วนเจ้าหมูน้อยที่อายุยังไม่ถึง 2 ขวบ ก็ให้นั่งตัก และจ่ายในราคา 6,220 บ. (ค่าภาษี+surcharge รวมๆแล้ว ประมาณ 25%ของราคาผู้ใหญ่ แต่ถ้าเกิน 2 ขวบและจะเอาที่นั่งก็ต้องจ่ายราคาผู้ใหญ่นะจ๊ะ) โชคดีที่ได้ลดราคาจากการจ่ายบัตรที่ดีลกับ Traveloca ได้ลด -275.00 บ. เหลือรวมทั้งสิ้น 45,981.68 บ.( แค่นี้ชิ๊ลลล!...เอิ่ม...มีวรรณยุกต์ที่แสดงเสียงสูงได้กว่านี้อีกมั๊ยคะ )

**ทริคเตรียมตัวก่อนบิน**
1. ควรจองตั๋วเครื่องบินล่วงหน้าไม่ต่ำกว่า 1 เดือน แล้วเราก็ได้ตั๋วราคาดี,สายการบินแจ่ม ลูกเราก็จะได้นั่งสบาย
2.ราคาตั๋วไปญี่ปุ่น ถ้าคัดเฉพาะบินตรง สายการบินมีชื่อ อย่าง TH airway,ANA,JAL บินเที่ยวละประมาณ 5-6 ชม. ราคามาตรฐานค่อนไปทางถูกของสายการบินที่ว่า จะวิ่งอยู่ที่ 18,000 - 23,000 บ. ถ้าราคาเกินกว่านี้ ก็ให้เปลี่ยนแผนไปเที่ยวช่วงอื่นจะดีที่สุด
3.ราคาตั๋วจากกทม.ไปลง Haneda Airport ส่วนใหญ่จะแพงกว่าบินไปลง Narita airport เล็กน้อย
แต่ถ้าลง Haneda Airport ชีวิตคุณและลูกจะพบกับความสุขกว่าเยอะ เพราะนั่งรถไฟแค่ 20 นาที ก็เข้าเมืองได้แล้ว แต่ถ้าลง Narita airport ต้องใช้เวลาประมาณ 1.5 ชม.
4.เตรียมพาสปอร์ตทั้งของพ่อแม่และลูกให้พร้อม เจ้าคัทสึมีพาสปอร์ต 2 เล่ม ของไทยและญี่ปุ่น ก็เอาไปทั้งหมด
5.web จองตั๋วที่คุณคู่ควร เช่น traveloca , skyscanner , cheapticket.com
6.ควรเลือกช่วงเวลาเดินทางให้ตรงกับเวลาที่ลูกหลับ แต่ว่าถ้ายังไงก็ไม่ตรง แนะนำว่าเลือกไฟล์ทกลางวันอาจจะรบกวนคนอื่นน้อยกว่ากลางคืน ถ้าลูกร้อง ยังไงเด็กเล็กๆต้องนอนกลางวันอยู่แล้ว ก็เอาผ้าห่มมาคลุมให้มืดๆหน่อยก็คงหลับแล้วค่ะ
7.ตุ๊กตา,ของเล่น,หนังสือที่ลูกชอบ ให้ถือขึ้นเครื่องไปด้วย และหยิบออกมาล่อลูกทีละอย่าง เบื่ออันนึง ก็ค่อยเปลี่ยนอันใหม่ วนไปค่ะ  ถ้าเอาไม่อยู่จริงๆ พวกไฟสัญญาณที่กะพริบต่างๆบนเครื่อง ก็ชี้ชวนให้ลูกดูได้  อย่างพี่คัทสึเอง ก็สนใจทีเดียว โดยเฉพาะ ไฟแสดงสถานะห้องน้ำ (สร้างสรรค์มากค่ะลูกกก)
8.หากคุณจะเดินทางไปช่วงหน้าหนาว (ที่หนาวจริงๆไม่ใช่แกล้งหนาวเหมือนไทย) ให้เตรียมอุปกรณ์กันหนาว เช่น หมวก,ถุงมือ,ผ้าพันคอ ของลูกไว้ตั้งแต่อยู่ไทยได้เลย เพราะไปถึงที่นู่นช่วงแรกเราจะยุ่งกับทุกสิ่งอันมากกก ถ้าไม่เตรียมมาก่อนลูกเราก็ต้องทนหนาวไปนะคะ รวมทั้งห้ามลืม ครีมทาผิวเด็กและหน้า,เบบี้ออยล์,วาสลีน(ใครๆเค้าก็บอกว่าดีนักแล...แต่ครั้งนี้ไม่ดี เพราะไม่ได้เตรียมไปค่ะ...พร้อมมากกกกก!) ,วิคส์,ขี้ผึ้ง,ยาแก้หวัด,แก้น้ำมูก,แก้ท้องเสีย,แก้สารพัดตามสถานการณ์ลูกใครลูกมันค่ะ

*****************************

30 December 2016@Bangsane Home

Check in & Immigration
และแล้วก็ถึงวันบินจริง....ไฟล์ทของเราบินตอนประมาณ 8 โมงเช้า เราไปถึงสนามบินกันประมาณ 6 โมงเช้า ก็ต้องไปต่อแถวกับฝูงชนแล้ว  แต่เดชะบุญ มีเจ้าหน้าที่บอกว่า "ถ้ามีเด็กไปcheck in ช่องพิเศษได้เลยค่ะ" โอ้วว...เหมือนฟ้าเปิดจริงๆ เราก็หอบลูกไปที่ช่องพิเศษ ผ่านแถวของฝูงชน แล้ว(แอ๊บ)ทำหน้าแบบขอโทษจริงๆนะฮะ(หุหุ...สาบานว่า คิดแบบนั๊นนจริงจริ๊ง!) ใครจะพาลูกไปเช็คอิน ก่อนต่อแถว ให้มองเคาน์เตอร์พิเศษไว้ให้ดี เจอแล้วให้รีบพาลูกปรี่เข้าไปเลยค่ะ  ไม่ต้องมาเสียเวลาต่อแถวแบบเรา
เราก็จะตั๋ว 3 ใบ พ่อ,แม่,ลูก ทีนี้ก็รีบเข้าไปผ่านจุดตรวจสัมภาระ,ทำการต่อแถวผ่านด่านตม.
ซึ่งถ้ามีเด็ก ให้ไปต่อแถวที่เป็นเคาน์เตอร์ ไม่ใช่ตรงเครื่องอัตโนมัตินะจ๊ะ  ซึ่งคัทสึ นางก็วุ่นวายเล็กๆตามประสา เพราะแถวยาว รอนาน แต่แม่ก็หลอกล่อไปเรื่อยค่ะ ชีวิตแม่เหมือนมีแต่ความหลอกลวงไงไม่รู้555
*กรณีลูกครึ่ง* 
              ตอนเช็คอินที่เคาท์เตอร์การบินไทย ของลูกให้ยื่นพาสปอร์ตไทยอย่างเดียวนะคะ
              ตอนผ่านด่านขาออกจากไทย แม่ก็กระเตงหมูน้อยไปต่อแถวพร้อมยื่นพาสปอร์ตไทยให้อย่างเดียว   แต่ตอนถึงญี่ปุ่น(หรือปลายทาง)แล้ว ให้เก็บพาสปอร์ตไทยไว้ให้มิด แล้วยื่นพาสปอร์ตญี่ปุ่นแทน (นึกภาพว่า คนญี่ปุ่นเดินทางเพื่อกลับเข้าประเทศบ้านเกิด นั่นเอง ) ส่วนเวลาจะออกจากญี่ปุ่นและบินกลับไทย คัทสึก็จะให้พ่อ(ญี่ปุ่น)อุ้มไปต่อแถวคนญี่ปุ่นเพื่อผ่านด่าน ออกนอกประเทศ พร้อมยื่นพาปอร์ตญี่ปุ่นอย่างเดียว  พอถึงแผ่นดินไทยปุ๊บ คัทสึก็เปลี่ยนมาให้แม่อุ้มไปต่อแถวคนไทยพร้อมยื่นพาสปอร์ตไทยแทน

Before Take off 
       พอผ่านพิธีการเสร็จสิ้น ก็ตรงปรี่ไปที่เลาจน์ King power  เพื่อหาข้าวต้มให้ลูกกินก่อน เพราะจะได้กินยา (ปล.คัทสึ งอแงหน่อย เพราะท้องเสียอยู่ แต่ชีวิตก็ต้องเดินต่อไป the show must go on!) พอนั่งสักพักนึง ล้วงกระเป๋าเป้ของหม่าม้าดู ตายล่ะหว่า!(สาบาน...ว่าอุทาน น่ารักแบบนี้!) กระเป๋าสตางค์หาย !!!!!!! (เอาเครื่องหมายตกใจไปอีกล้านตัว)   เลยต้องทิ้งลูกไว้กับพ่อ แล้วแม่ก็ไปตามหากระเป่า ซึ่งนานนมากกกก แต่ไม่เจอ เลยถอดใจรีบย้อนกลับไปที่เลาจน์ พร้อมกับเห็นพ่อหอบลูกที่ร้องงอแงและกระเป๋าสัมภาระออกมา และสามคนก็วิ่งไปยังเกท ที่กำลัง Final call เพราะดูนาฬิกาผิด(เจริ๊ญเจริญ) แถมทางจนท.ตรงเกทแจ้งว่า เจอกระเป๋าตังค์คุณแล้วนะคะ แต่คุณมาเข้าเกทช้า เลยต้องมาเอาตอนกลับเข้าไทยอีกทีละกันค่ะ (เยี่ยม! ตูได้เกาะฝาละมีกิน ของแท้) และในที่สุดก็ได้ขึ้นเครื่อง
แต่ช้าก่อนนนนนนน.... เป้อีกใบไปไหนหว่า !!! วิ่ง สิ เอ๋ วิ่ง......หม่าม้า วิ่งฝ่าวงล้อมของแอร์ออกจากเครื่อง เร็วที่สุดในโลกหล้า ย้อนกลับไปเอากระเป๋าที่เลาจน์  โอ้เย...ชีวิต  สุดท้ายได้เอาตูดสัมผัสเก้่าอี้ในเครื่องการบินไทย ด้วยเหงื่อท่วม และสายตา"ชมเชยยย"จากผู้โดยสารที่รออยู่บนเครื่องคร่ะ!

Take off & Flying & Landing

           หลังจากผู้โดยสารขึ้นเครื่อง ก็ได้เวลาเริ่มบิน แม่รีบขอน้ำร้อนใส่กระติกน้ำร้อนมือถือจากคุณแอร์ไว้ก่อนเลย พร้อมทั้งควักขวดน้ำและขนมไว้ข้างกาย  ดีนะ ที่เค้าจัดที่แถวหน้าไว้ให้เด็กเลย พื้นที่เลยเยอะหน่อย  พอห้องเครื่องเริ่มมืด นักบินประกาศ take off พี่คัทสึ เริ่มบรรเลงเพลงปี่ แล้วก็ร้องไห้ต่อแม้จะ take off แล้ว คงทั้งกลัว ทั้งเริ่มหูอื้อ แน่เลยค่ะ หม่าม้าก็จัดการกอดไว้แน่นๆแล้วพาเดิน--> หยุดนิดหน่อยแต่ก็ร้องเป็นระยะๆ  / จากนั้นก็ให้ดูดน้ำ โดยเฉพาะตอน take off --> หยุดร้อง แต่พอน้ำหมดก็ร้องต่อ / สุดท้าย หม่าม้าเหลือบเห็น ช็อกโกแล็ต(ไมโล)ที่ติดขึ้นมาบนเครื่อง เลยหักนิดๆใส่ปากคัทสึ--> โอ้ววว ยังกะต้องมนต์ หยุดร้องเสียสนิท    หม่าม้าเลยต้องค่อยๆบิ (อาการคล้ายหักแต่มีขนาดเล็กกว่า)ให้ทีละนิดๆ แล้วระหว่างนั้นก็ให้ป่าป๊า เตรียมน้ำอุ่นใส่ขวดให้ พร้อมค่อยๆป้อนเมื่อสงครามเริ่มสงบ สุดท้าย หมาน้อยก็หลับไปได้  เราเลยใช้วิธี เอาขนมมาล่อ(ถ้าผู้ใหญ่อาจเรียกได้ว่า เห็นแก่กิน) พร้อมกับน้ำอุ่น ให้กินเรื่อยๆ(หากลูกตื่น)รวมทั้งตอน landing ด้วย
หรือ ถ้าใครลูกยังดูดนมแม่อยู่ เอะอะๆก็ยัดเข้าเต้าได้เลยนะคะ จะดีที่สุด ลูกจะไม่ปวดหูและไม่กลัว โดยเฉพาะตอน take off & landing

Arrived to Japan bound to BABA house in Yokohama
พอผ่านพิธีการเข้าเมืองและอะไรใดๆเสร็จ  เราก็เลือกเดินทางจากสนามบิน ไปโยโกฮาม่า(บ้านคุณย่า) ด้วยรถบัส Airport limusine (YCAT) คนละ 3200 Yen (ประมาณ 1000 THB ต่อเที่ยว) ราคาซือแบบไปและกลับพร้อมกันเลย ก็จะได้ถูกหน่อย  แถมเราไม่ต้องไปต่อรถไฟ เข้าๆออกๆพร้อมปุเลงๆลูกน้อยกับกระเป๋าใหญ่ๆ 2 อัน รถวิ่ง 1.5ชม.(แต่ถ้าไปโตเกียวก็ประมาณ 1 ชม.) แต่ถ้ามากันเอง รับรองเลือกรถไฟ keikyu ราคาถูกสุดค่ะ 1500 Yen (450 THB)  เนื่องจากบ้านคุณย่าต้องต่อรถบัสไปอีก ก็สู้กันปายยยค่ะ ในที่สุด ก็ได้เข้าบ้านคุณย่าเมื่อเวลา 21:00
คัทสึ เจอหน้าย่าครั้งแรก ร้องไห้แง แต่พอเข้าบ้าน เห็นฟุตง(ที่นอน)ที่ย่าปูเตรียมไว้ให้ นางก็หัวเราะร่าแล้ววิ่งไปนอนเล่นบนฟุตงทันที) หลอกง่ายนะเราเนี่ยยย

Life in Japan
กิจกรรมแรกหลังตื่นมาเช้าวันใหม่ ย่าเตรียมข้าวเช้าให้คัทสึด้วยข้าวสวยญี่ปุ่นร้อนๆกับปลาชิราสึ(ปลาสีขาวตัวเล็กเหมือนปลาข้าวสาร) คัทสึกินอย่างเอร็ดอร่อย จนทุกคนทึ่ง นี่แหละน้า ก็คัทสึมีเลือดคนญี่ปุ่นครึ่งนึงนี่นา
กินเสร็จเราก็ไปเยี่ยมคุณปู่กันที่โรงพยาบาล  คัทสึก็ร้องไห้จ้าอีกแล้วหลังจากเห็น สายน้ำเกลือและหน้าคุณปู่ แต่นางหยุดได้ด้วยการดูดน้ำแอบเปื้ลของคุณปู่ แต่พอดูดหมดก็ร้องอีก แม่ก็เลยต้องพาออกไปเล่นข้างนอก  จนบัดนี้ คัทสึก็คงยังกลัวฝังใจกับรพ.
นอกจากนั้น คัทสึก็ได้ไปเที่ยวที่ Hakejima Sea paradise (สวนสนุกเปิดและพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ),ไปเที่ยวสวนสัตว์ใกล้บ้าน,ไปกินซูชิรับปีใหม่กับครอบครัวและพี่Yui คัทสึชอบกินอะไรกรอบๆ นางเลยกินเทมปุนะซะเกลี้ยงเลย
คัทสึในช่วง 2-3 วันแรกที่ญี่ปุ่น จะซึมๆนอยด์ๆ ด้วยอากาศที่เปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง ผิวแตก หนาวๆ10 องศา ครึ้มๆ เงียบๆ ชีวิตเลยอยู่ได้ด้วยการนอนบนรถบัส,รถไฟ และคัทสึจะชอบดูรถบัส,รถบรรทุกและรถไฟมากๆขอให้มีวิ่งผ่านหน้า คัทสึจะเหมือนถูกสะกดด้วยมนต์ พร้อมทั้งเปล่งเสียงออกมาเป็นเสียงรถตลอด(เออดีๆลุก แม่ไม่ต้องซื้อของเล่นให้ ไปดูรถตามถนนก็สุขได้เนอะลูก) อีกอย่างที่เพิ่งเห็นชัดๆว่าคัทสึชอบมากก คือ กล้วยหอม และสตอเบอรรี่ กินได้ไม่หยุด จนสามารถรู้เรื่องว่า ก่อนให้กิน ถ้าแม่บอกว่า Thank you คัทสึจะยกมือไหว้ทันที (ปรบมืออออ)  แถมพออยู่ญี่ปุ่น คัทสึยังเลียนแบบเสียงหัวเราะของคุณย่าได้ด้วย "อ่ะ ฮะฮ่ะฮ่าาา"
คืนสุดท้ายเราไปนอนที่ APA hotel Narita จะได้ใกล้สนามบิน ไม่ต้องรีบมาก คัทสึดี๊ด๊าขึ้นมาเหมือนเดิม เพราะร่างกายคงปรับตัวได้แล้ว แต่พอแม่จะพาไปลองออนเซน ก็ร้องไห้โฮอีก เลยพาไปอาบน้ำในห้องแทน  ไม่เป็นไร ทุกอย่างต้องมีการเริ่มต้น รอโตกว่านี้ เราไปลองแก้ผ้าอาบน้ำออนเซนด้วยกันนะลูก

จบทริป เพียงเท่านี้  
แล้วเราจะค่อยๆสะสมประสบการณ์ใหม่ๆไปด้วยกันนะครับ คัทสึ

ข้อมูลเพิ่มเติม
มีโรงแรมใกล้สนามบินนาริตะหลายที่
แต่ช่วงที่เราไป เช็คแล้ว APA hotel Narita ถูกและเป็นที่นิยมสุด เลยจองที่นี่
ของเราเตียงใหญ่(แต่ห้องเล็ก) ไม่รวมข้าวเช้า คืนละ 6500 Yen:ประมาณ 2,000 THB นอนได้ 2 คนกะเด็กอีก 1 คน พอดี ) มีฟรี shuttle bus ไปส่งสนามบินด้วยจ้า